ปริมาตร หมายถึงความมากน้อยในปริภูมิสามมิติซึ่งวัสดุชนิดหนึ่งในสถานะใด ๆ (ของแข็ง ของเหลว แก๊ส หรือพลาสมา) หรือรูปทรงชนิดหนึ่งยึดถืออยู่หรือบรรจุอยู่[1] บ่อยครั้งที่ปริมาตรระบุปริมาณเป็นตัวเลขโดยใช้หน่วยกำกับ เช่นลูกบาศก์เมตรซึ่งเป็นหน่วยอนุพันธ์เอสไอ นอกจากนี้ยังเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า
ปริมาตรของภาชนะคือ ความจุ ของภาชนะ เช่นปริมาณของของไหล (ของเหลวหรือแก๊ส)
ที่ภาชนะนั้นสามารถบรรจุได้ มากกว่าจะหมายถึงปริมาณเนื้อวัสดุของภาชนะ
รูปทรงสามมิติทางคณิตศาสตร์มักถูกกำหนดปริมาตรขึ้นด้วยพร้อมกัน
ปริมาตรของรูปทรงอย่างง่ายบางชนิด เช่นมีด้านยาวเท่ากัน สันขอบตรง
และรูปร่างกลมเป็นต้น สามารถคำนวณได้ง่ายโดยใช้สูตรต่าง ๆ ทางเรขาคณิต ส่วนปริมาตรของรูปทรงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นสามารถคำนวณได้ด้วยแคลคูลัสเชิงปริพันธ์ถ้าทราบสูตรสำหรับขอบเขตของรูปทรงนั้น
รูปร่างหนึ่งมิติ (เช่นเส้นตรง) และรูปร่างสองมิติ (เช่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส) ถูกกำหนดให้มีปริมาตรเป็นศูนย์ในปริภูมิสามมิติ
ปริมาตรของของแข็ง
(ไม่ว่าจะมีรูปทรงปกติหรือไม่ปกติ) สามารถตรวจวัดได้ด้วยการแทนที่ของไหล และการแทนที่ของเหลวสามารถใช้ตรวจวัดปริมาตรของแก๊สได้อีกด้วย
ปริมาตรรวมของวัสดุสองชนิดโดยปกติจะมากกว่าปริมาตรของวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง
เว้นแต่เมื่อวัสดุหนึ่งละลายในอีกวัสดุหนึ่งแล้ว
ปริมาตรรวมจะไม่เป็นไปตามหลักการบวก [2]
ในเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ ปริมาตรถูกอธิบายด้วยความหมายของรูปแบบปริมาตร (volume form) และเป็นตัวยืนยงแบบไรมันน์ (Riemann invariant) ที่สำคัญโดยรวม ในอุณหพลศาสตร์ ปริมาตรคือตัวแปรเสริม (parameter) ชนิดพื้นฐาน และเป็นตัวแปรควบคู่ (conjugate variable)
กับความดัน
อังกฤษ
|
สหรัฐฯ
ของเหลว |
สหรัฐฯ
ของแห้ง |
|
142 มล.
|
118 มล.
|
138 มล.
|
|
568 มล.
|
473 มล.
|
551 มล.
|
|
1137 มล.
|
946 มล.
|
1101 มล.
|
|
4546 มล.
|
3785 มล.
|
4405 มล.
|
ระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศกำหนดให้หน่วยวัดปริมาตรมาตรฐานคือหน่วยลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม., ม.3, m3) ระบบเมตริกก็มีหน่วยลิตร (ล., L) เป็นหน่วยวัดปริมาตรอีกด้วย ซึ่งเท่ากับปริมาตรของทรงลูกบาศก์ขนาดสิบเซนติเมตร จึงสัมพันธ์กับหน่วยลูกบาศก์เมตรเช่นกัน นั่นคือหน่วยวัดปริมาตรใช้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยวัดความยาว โดยเติมคำว่า ลูกบาศก์ นำหน้าหน่วยความยาวที่ใช้วัดขนาดในสามมิติทั้งความกว้าง ความยาว ความสูง ในหน่วยเดียวกัน เมื่อเขียนเป็นอักษรย่อจะเติม ลบ. นำหน้าหรือกำกับด้วย ยกกำลังสาม อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น วัตถุทรงลูกบาศก์ชิ้นหนึ่งมีทุกด้านยาวหนึ่งเซนติเมตร (ซม., cm) จะมีปริมาตรเท่ากับหนึ่งลูกบาศก์เซนติเมตร (ลบ.ซม., ซม.3, cm3)
1 ลิตร = (10 เซนติเมตร)3 = 1000 ลูกบาศก์เซนติเมตร =
0.001 ลูกบาศก์เมตร
ดังนั้น
1 ลูกบาศก์เมตร = 1000 ลิตร
1 มิลลิลิตร = 0.001 ลิตร = 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร
หน่วยวัดปริมาตรแบบดั้งเดิมอื่น ๆ
ที่มีหลากหลายก็เป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น ลูกบาศก์นิ้ว ลูกบาศก์ฟุต ลูกบาศก์ไมล์ ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วย ออนซ์ แดรม กิลล์ ไพนต์ ควอร์ต แกลลอน มินิม บาร์เรล คอร์ด เพก บุเชิล ฮอกสเฮด ฯลฯ
ส่วนหน่วยวัดไทยดั้งเดิมก็มีอย่างเช่น ถัง (20 ลิตร) บั้น เกวียน เป็นต้น
ความหนาแน่นของวัตถุนิยามจากมวลต่อปริมาตรหนึ่งหน่วย
ส่วนกลับของความหนาแน่นคือปริมาตรจำเพาะซึ่งนิยามจากปริมาตรหารด้วยมวล
ปริมาตรกับความจุบางครั้งมีความหมายแตกต่างกัน
ความจุใช้อธิบายความมากน้อยที่ภาชนะสามารถบรรจุวัตถุอื่นได้
ส่วนปริมาตรใช้อธิบายความมากน้อยในปริภูมิสามมิติที่วัตถุนั้นยึดถืออยู่
ปริมาตรกับความจุก็ยังมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องการจัดการความจุ ซึ่งความจุนิยามจากปริมาตรที่มีอยู่ในช่วงเวลาที่ระบุ
สูตรปริมาตร
รูปทรง | สูตรปริมาตร | ตัวแปร |
---|---|---|
ทรงลูกบาศก์ | a = ความยาวของด้าน (หรือขอบ) ด้านใดด้านหนึ่ง | |
ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก (ปริซึมสี่เหลี่ยมมุมฉาก) | l = ความยาว, w = ความกว้าง, h = ความสูง | |
ปริซึม | B = พื้นที่ของหน้าตัด (ฐาน), h = ความสูง | |
ทรงกระบอก | r = รัศมีของหน้าตัดรูปวงกลม, h = ความสูง | |
ทรงกลม | r = รัศมีของทรงกลม | |
ทรงรี | a, b, c = กึ่งแกนของทรงรี | |
พีระมิด | B = พื้นที่ของหน้าตัด (ฐาน), h = ความสูงจากฐานสู่ยอด | |
ทรงกรวย | r = รัศมีของหน้าตัดรูปวงกลม, h = ความสูงจากฐานสู่ยอด | |
ทรงสี่หน้าปรกติ[4] | a = ความยาวของด้าน (หรือขอบ) ด้านใดด้านหนึ่ง | |
ทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน | a, b, c = ความยาวของขอบจากจุดยอดจุดหนึ่ง α, β, γ = มุมภายในระหว่างขอบจากจุดยอดจุดหนึ่ง | |
รูปทรงใด ๆ (ต้องใช้แคลคูลัส) | h = มิติใด ๆ ของรูปทรง A(h) = พื้นที่หน้าตัดที่ตั้งฉากกับ h อธิบายด้วยฟังก์ชันของตำแหน่งบน h a, b = ขอบเขตของปริพันธ์สำหรับการกวาดเชิงปริมาตร (ใช้ได้เฉพาะกรณีรูปทรงที่พื้นที่หน้าตัดสามารถพิจารณาได้จาก h) | |
รูปทรงที่หมุนใด ๆ (ต้องใช้แคลคูลัส) | = ฟังก์ชันที่แสดงถึงรัศมีภายนอกและภายในของฟังก์ชันตามลำดับ a, b = ขอบเขตของปริพันธ์สำหรับการกวาดเชิงปริมาตร |
เทคนิคการหาปริมาตร
ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=gG8cJ0PzSac 8 กันยายน 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น